ไวรัสตับอักเสบบีและซี หากไม่รักษา อาจอันตรายถึงขั้น "มะเร็ง"

บทความสุขภาพ

07 มี.ค. 2567
ครั้ง
ไวรัสตับอักเสบบีและซี หากไม่รักษา อาจอันตรายถึงขั้น "มะเร็ง"
ไวรัส.png

      ไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้ เมื่อเชื้อเข้าไปในร่างกาย อาการจะไม่รุนแรง ไม่ชัดเจน ทำให้ผู้รับเชื้อไม่ทราบว่าตนเองเริ่มมีอาการตับอักเสบแล้ว ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีและซี จะทราบได้ก็ต่อเมื่อไปตรวจร่างกายแล้วพบค่าการอักเสบของตับผิดปกติ และตรวจเลือดพบการติดเชื้อ วันนี้เรามี “การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี” มาฝากทุกคน

  • ไวรัสตับอักเสบบี สามารถติดต่อหลักทางเลือด เพศสัมพันธ์ การสักตามร่างกาย เจาะหูหรืออวัยวะต่างๆ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน อาจติดจากมารดาสู่ทารก ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีบางรายมีภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน โดยมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไข้ต่ำๆ คลื่นไส้อาเจียน เหนื่อยง่าย ตัวเหลือง ตาเหลือง อาการพวกนี้จะดีขึ้นภายใน 2 - 3 สัปดาห์ หลังจากนั้นร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา และผู้ป่วยส่วนมาก จะไม่กลับมาเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีอีก ในทางกลับกันในผู้ที่มีภูมิต้านทานไม่แข็งแรงพอ ไวรัสที่เหลืออยู่มากก็จะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและมีพังผืดเกิดขึ้นมาแทนที่
  • ไวรัสตับอักเสบซี สามารถติดต่อกันทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์คล้ายกับไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่ติดต่อทางการไอจามรดกัน การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำด้วยกัน และการใช้ถ้วยชามร่วมกัน ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีในระยะแรกจะไม่ค่อยมีอาการ จะดำเนินโรคแบบค่อยเป็นค่อยไป และอาจมีอาการเหมือนโรคทั่วไป เช่น เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง อ่อนเพลีย หรือมึนงง เป็นต้น
  • ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี และซีส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ เนื่องจากมักไม่แสดงอาการ จะดำเนินโรคแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจมีอาการน้อยและอาการเหมือนโรคทั่วไปจึงไม่ได้สนใจ หากไม่ได้ไปพบแพทย์ หรือตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ ก็จะไม่ทราบว่าตนเองมีตับอักเสบเรื้อรัง จนโรคจะดำเนินไปจนเข้าสู่ระยะตับแข็ง และส่งผลทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ ในที่สุด

ติดตาม โซเชียลเน็ตเวิร์ก ของเรา

iConsFacebook.png iConsInstagram.png iConsLine.png iConsTwitter.png iConsYouTube.png iConsTikTok.png